สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ราคาน้ำมันดีเซลอาจทะลุ 35 บาพ/ลิตร หลัง ครม.ไฟเขียวมาตรการบริหารราคาน้ำมันดีเซลผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2565
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันชื้อเพลิง หรือ สกนช. เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 เห็นซอบมาตรการบริหารราคาน้ำมันตีเซลผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2565 รัฐบาลได้มอบให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. บริหารจัดการราคาขายปลีกดีเซล ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับที่เหมาะสม ดังนั้นระดับราคาขายปลีกดีเซลที่ปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร จะมีการเปลี่ยนแปลงสูงกว่า 35 บาทต่อลิตรหรือไม่ขึ้นอยู่กับราคาตลาด โลก ในขณะนั้น
หลังจากก่อนหน้านี้ ครม.มีมติกำหนดแนวทางบริหารราคาดีเซล หากเกินเพดาน 35 บาทต่อลิตรให้กองทุนน้ำมันฯอุตหนุนราคาดีเซลครึ่งหนึ่งและประชาชนรับภาระครึ่งหนึ่ง และมาตรการนี้สิ้นสุดลงวันที่ 30 ก.ย.65 ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 กบน.จะเป็นผู้พิจารณาบริหารจัดการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงราคาดลาดโลก เงินที่อุตหนุนดีเซลและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันยังคงติดลบกว่า 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบกว่า 8 หมื่นล้านบาท บัญชีแอลพี่จีดิตลบกว่า 4 หมื่นล้านบาท
ด้านนายพรชัย กุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักโบายและยุทธศาตร์ สกช. ระบุว่า ราคาดีเซลตลาตโลก ปรับตัวลตลง ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเรียกเก็บเข้า 1.13 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่ 17 กันยายน 2565 จากเติมอุดหนุน 1.29 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงมีเงินเข้าประเภทน้ำมันประมาณวันละ 71.67 ล้านบาท ส่วนก๊ซแอลพีจี มีเงินไหลออกประมาณวันละ 27.82 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันน้ำมัน มีรายรับสุทธิประมาณวันละ 43.85 ล้านบาทต่อวัน
โดยสัปตาห์นี้ กบน.ยังคงมีการพิจารณาทบทวนราคาขายปลีกดีเซลเช่นเดิม แต่หลังจากนี้จะกำหนดวันอีกครั้ง ส่วนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไรอยู่ที่ตลาดโลกป็นสำคัญ แม้ดีเซลจะพลิกกลับมาเก็บเงินข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าฐานะยังติดหนี้ หากตีเซลตลาดโลกลงต่อ ระยะแรก กบน.คงจะเน้นเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเป็นหลักก่อน ยกเว้นกรณีลงแรงๆ อาจจะลดราคาขายปลีกให้ประชาชนได้บ้าง แต่หากขึ้นสูงก็ต้องปรับตาม จึงตอบไม่ได้ถึงว่าที่สุดแล้วดีเซลจะเกิน 35 บาทต่อลิตรหรือไม่อยู่ที่ราคาตลาดโลกเป็นสำคัญ